ความเป็นมา
ตั้งอยู่ศูนย์กลางของเมืองพิมาย ริมฝั่งแม่น้ำมูล งดงามอลังการตามแบบแผนศิลปะขอม นับเป็นแหล่งโบราณคดีที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศไทย บนพื้นที่ 115 ไร่ มีลักษณะเป็นเวียงสี่เหลี่ยม ชื่อ “พิมาย” น่าจะมาจากคำว่า “วิมาย” หรือ “วิมายปุระ” ที่ปรากฏในจารึกภาษาขอม บนแผ่นหินตรงกรอบประตูระเบียงคดด้านหน้าของปราสาท ลักษณะพิเศษของปราสาทหินแห่งนี้ คือ ปราสาทหันหน้าไปทางทิศใต้ ต่างจากปราสาทหินอื่นที่มักหันหน้าไปทางทิศตะวันออก สันนิษฐานว่าเพื่อให้หันรับกับเส้นทางที่ตัดมาจากเมืองยโศธรปุระ เมืองหลวงของอาณาจักรเขมร ซึ่งเข้าสู่เมืองพิมายทางด้านทิศใต้
จากหลักฐานศิลาจารึก และศิลปะสร้างบ่งบอกว่า ปราสาทหินพิมายได้สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ในฐานะเทวสถานของศาสนาพราหมณ์รูปแบบของศิลปะเป็นแบบบาปวนผสมผสานกับศิลปะแบบนครวัด ต่อมาสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้สร้างเพิ่มเติม และดัดแปลงมาเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนานิกายมหายานจากนั้นวัฒนธรรมขอมเริ่มเสื่อมลง และมีการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยในเวลาต่อมา
ปราสาทหินพิมายถูกสร้างขึ้นก่อนปราสาทนครวัดในประเทศกัมพูชาและก่อนปราสาทหินพนมรุ้ง จัดเป็นโบราณสถานที่มีความสวยงาม และเป็นต้นแบบของปราสาททุกแห่งในภาคพื้นเอเชีย กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทหินพิมายเป็นโบราณสถาน และได้จัดตั้งเป็น “อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย” ในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2532 ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้เสด็จฯ พระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด
ท้าวปาจิตต์-นางอรพิม
ท้องถิ่นพิมายมีนิทานเล่าขานเรื่องราวความรักของท้าวปาจิตต์แห่งเมืองนครธมกับนางอรพิมเชื่อมโยงถึงที่มาของชื่อ “พิมาย” ว่าปาจิตต์กุมาร โอรสท้าวมหาธรรมราชา เจ้าเมืองพราหมณ์พันธุ์นคร ได้เดินทางออกไปหาคู่ครอง ระหว่างทางพบหญิงชาวนาครรภ์แก่มีแสงอาทิตย์ทรงกลดกั้นเป็นเงาอยู่ แสดงว่าเด็กในครรภ์จะต้องเป็นผู้มีบุญอย่างแน่นอน จึงขอชาวนาว่าหากลูกเป็นหญิงจะขอแต่งงานด้วย หากเป็นชายจะขอเป็นน้อง ท้าวปาจิตต์ ได้อยู่ช่วยชาวนาทำงานจนกระทั่งนางคลอดบุตรเป็นหญิงลักษณะดี ชื่อ “อรพิม” ท้าวปาจิตต์จึงช่วยดูแลอรพิมจนนางโตเป็นสาวสวยรูปโฉมงดงาม ทั้งสองก็แต่งงานกัน ต่อมาท้าวปาจิตต์ลากลับไปเยี่ยมบ้านเมือง และรับปากว่าจะจัดขันหมากมาสู่ขอตามประเพณี ระหว่างนั้นท้าวพรหมทัตได้เสด็จประพาสป่ามาพบนางอรพิม ก็จะรับตัวไปไว้ที่ปราสาทเพื่อจะให้เป็นมเหสี แต่นางก็ผัดผ่อน อ้างว่าให้พี่ชายมาก่อน เมื่อท้าวปาจิตต์ได้ทราบเรื่องราว จึงรีบตามมารับตัวนางที่ปราสาท เมื่อนางอรพิมเห็นท้าวปาจิตต์ ก็ร้องออกมาด้วยความดีใจว่า “พี่มา” ซึ่งต่อมาก็เพี้ยนเป็น “พิมาย” และเรียกติดปากมาจนถึงปัจจุบัน
จากหลักฐานศิลาจารึก และศิลปะสร้างบ่งบอกว่า ปราสาทหินพิมายได้สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ในฐานะเทวสถานของศาสนาพราหมณ์รูปแบบของศิลปะเป็นแบบบาปวนผสมผสานกับศิลปะแบบนครวัด ต่อมาสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้สร้างเพิ่มเติม และดัดแปลงมาเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนานิกายมหายานจากนั้นวัฒนธรรมขอมเริ่มเสื่อมลง และมีการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยในเวลาต่อมา
ปราสาทหินพิมายถูกสร้างขึ้นก่อนปราสาทนครวัดในประเทศกัมพูชาและก่อนปราสาทหินพนมรุ้ง จัดเป็นโบราณสถานที่มีความสวยงาม และเป็นต้นแบบของปราสาททุกแห่งในภาคพื้นเอเชีย กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทหินพิมายเป็นโบราณสถาน และได้จัดตั้งเป็น “อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย” ในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2532 ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้เสด็จฯ พระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด
ท้าวปาจิตต์-นางอรพิม
ท้องถิ่นพิมายมีนิทานเล่าขานเรื่องราวความรักของท้าวปาจิตต์แห่งเมืองนครธมกับนางอรพิมเชื่อมโยงถึงที่มาของชื่อ “พิมาย” ว่าปาจิตต์กุมาร โอรสท้าวมหาธรรมราชา เจ้าเมืองพราหมณ์พันธุ์นคร ได้เดินทางออกไปหาคู่ครอง ระหว่างทางพบหญิงชาวนาครรภ์แก่มีแสงอาทิตย์ทรงกลดกั้นเป็นเงาอยู่ แสดงว่าเด็กในครรภ์จะต้องเป็นผู้มีบุญอย่างแน่นอน จึงขอชาวนาว่าหากลูกเป็นหญิงจะขอแต่งงานด้วย หากเป็นชายจะขอเป็นน้อง ท้าวปาจิตต์ ได้อยู่ช่วยชาวนาทำงานจนกระทั่งนางคลอดบุตรเป็นหญิงลักษณะดี ชื่อ “อรพิม” ท้าวปาจิตต์จึงช่วยดูแลอรพิมจนนางโตเป็นสาวสวยรูปโฉมงดงาม ทั้งสองก็แต่งงานกัน ต่อมาท้าวปาจิตต์ลากลับไปเยี่ยมบ้านเมือง และรับปากว่าจะจัดขันหมากมาสู่ขอตามประเพณี ระหว่างนั้นท้าวพรหมทัตได้เสด็จประพาสป่ามาพบนางอรพิม ก็จะรับตัวไปไว้ที่ปราสาทเพื่อจะให้เป็นมเหสี แต่นางก็ผัดผ่อน อ้างว่าให้พี่ชายมาก่อน เมื่อท้าวปาจิตต์ได้ทราบเรื่องราว จึงรีบตามมารับตัวนางที่ปราสาท เมื่อนางอรพิมเห็นท้าวปาจิตต์ ก็ร้องออกมาด้วยความดีใจว่า “พี่มา” ซึ่งต่อมาก็เพี้ยนเป็น “พิมาย” และเรียกติดปากมาจนถึงปัจจุบัน